ไม่มีแค็ตตาล็อก, Travel, Yemen, Yemen
Leave a Comment

QUICK GUIDE : Stories From Yemen. 

เยเมน ในสายตาของชาวโลก คงเป็นภาพสงครามกลางเมืองที่มีแต่ความรุงแรง เป็นบ้านป่า เมืองเถื่อน บ้านเมืองที่ไม่มีความปลอดภัย ไร้กฎระเบียบ อ่านแล้วคงรู้สึกน่ากลัว แต่สำหรับเราที่มีความสนใจในประเทศแถบตะวันออกกลางอยู่แล้ว การได้ไปเห็นกับ “ตา” ได้รับรู้และรู้สึกเอง คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด เราได้มีโอกาสเดินทางไปยังประเทศเยเมน ตลอดเวลาที่ได้เดินทางในประเทศเยเมน เราได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย หลายๆสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านี้ เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆอย่าง

” สงคราม ทำให้ทุกๆอย่างเปลื่ยนไป และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ” ไกด์ท้องถิ่นพูดกับเราระหว่างที่ขับรถพาชมรอบเมือง Seiyun

การเดินทางในเยเมนใต้ ในภูมิภาค Hadramaut สถานที่ท่องเที่ยวก็จะมี Tarim – Wadi Dawan – Shibam และ Seiyun การเดินเที่ยวในเมืองช่วงนี้เป็นไปได้ยาก ส่วนใหญ่ตลอดทั้งทริป คือถ่ายรูปจากในรถแทบทั้งสิ้น มีครั้งนึงไกด์เคยพาลงไปชื้อของ ระหว่างที่เดินชื้อ มีคนที่เดินผ่าน เห็นพวกเราเป็นนักท่องเที่ยว เดินเข้ามาทักทาย จนกลายเป็นจุดสนใจ คนแถวนั้นเริ่มมองมาที่พวกเรา จนไกด์ต้องรีบพาขึ้นรถ และบอกกับพวกเราว่า ” อย่าเป็นจุดน่าสนใจมากนัก มีข่าวจับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเรียกค่าไถ่อยู่บ่อยๆ ” หรือแม้กระทั่งการออกไปเที่ยวนอกเมือง เราจะพบเจอกับด่านตรวจที่เข้มงวดมาก ตลอดเวลาที่อยู่บนท้องถนนไกด์จะคอยโทรคุยอัพเดทข่าวสารตลอด ว่าข้างหน้าทางที่เราจะไปเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?

สิ่งหนึ่งที่ตื่นตามาก คือ ตลอดเวลาที่เราอยู่ในเยเมน เราจะพบเจอผู้คนพกปืนกัน จนเป็นเรื่องปกติ ไกด์บอกว่า ปืนเหล่านี้มีราคาแพงมาก ประชาชนที่มีเงินจะชื้อปีนมาเพื่อปกป้องตนเองจากศัตรูที่รุกราน ประเทศเยเมนจากที่เราได้สัมผัสมา ผู้คนชาวเยเมนเป็นมิตรมาก เมื่อเจอนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เพราะพวกเขาเหล่านี้ ที่นับถือศาสนาอิสลาม จะเดินทางมาทำกิจกรรมทางศาสนาอยู่บ่อยๆ จนคนเยเมนคุ้นเคย ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอยากจะบอกเลยว่า ที่เยเมน มีหลายสถานที่ที่น่าสนใจมาก ในเรื่องของสถาปัตยกรรม ความเป็นอยู่ บ้านเรือน ผู้คน และประเพณีต่างๆ และธรรมชาติที่สวยงาม แต่น่าเสียดายที่เกิดสงตราม จนนักท่องเที่ยวลดลงทุกๆปี ที่เราเองก็หวังว่าในอนาคตสงครามจะยุติลง และเยเมนจะกลับมาสงบสุข และเปิดรับนักท่องเที่ยวมาชมความงามได้อีกครั้ง

ทริปนี้เราเริ่มเดินทางช่วงเดือน มีนาคม เพราะเป็นเดือนที่น่าเที่ยวที่สุดในเยเมน สภาพอากาศท้องฟ้าแจ่มใส ไม่ร้อนมากและไม่เย็นมากจนเกินไป ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 10 วัน โดยแผนการเดินทางมีแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆคือ เยเมนแผ่นดินใหญ่ และ เกาะโซโคตรา

DAY 1

เราเดินทางมาถึงสนามบิน Seiyun International Airport ช่วงเย็น ทันทีที่ประตูเครื่องเปิด ถึงเวลาให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องแล้วไปยังอาคารผู้โดยสาร ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นโลกภายนอกจากประตูเครื่องบิน นั้นก็คือ สนามบินที่ตั้งอยู่ รายล้อมไปด้วยหุบเขาสีน้ำตาล ตัดกับสีท้องฟ้าที่ไร้เมฆ เป็นภาพที่สวยงามมากๆ ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงดินแดนแห่งทะเลทรายประเทศเยเมน จุดหมายในฝันของเราสำเร็จแล้ว

อาคารผู้โดยสารดูตกแต่งเรียบง่าย แต่รอบๆรันเวย์จากเครื่องบินไปยังอาคารผู้โดยสารมีรถทหารพร้อมทหารประจำการอยู่หลายสิบคน ตั้งป้อมปืนกลหันมาทางเครื่องบินผู้โดยสารเพื่อคอยสังเกตการณ์ อ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่าทำไมถึงต้องเข้มงวดขนาดนี้ เพราะว่าเมื่อ 30 ธ.ค.เกิดเหตุระเบิดรุนแรงบริเวณลานจอดเครื่องบิน ใกล้กับอาคารผู้โดยสาร สนามบินเอเดน ทางตอนใต้ของประเทศเยเมน ขณะที่คณะรัฐบาลชุดใหม่เพิ่งลงเครื่องบิน ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากที่ไปรอต้อนรับ โดยแรงระเบิดส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 ศพ บาดเจ็บกว่า 50 ราย นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม สนามบินในเยเมนทุกที่ ถึงมีต้องมีความเข้มงวดถึงขนาดนี้

หลังจากที่ผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง รับกระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ไปพบไกด์ท้องถิ่นที่ติดต่อไว้ ตั้งแต่ก่อนเดินทาง ไกด์สำคัญมากสำหรับการเดินทางในเยเมน เพราะถ้าคุณไม่มีไกด์นั้นอาจทำให้คุณโดนปฏิเสธวีซ่าได้ มีไว้เถอะจะอุ่นใจกว่า เพราะการเดินทางในเยเมนนั้น คุณจะพบเจอด่านตรวจจำนวนมากตลอดเส้นทาง และไกด์ก็จะเป็นคนจัดการความเรียบร้อย เพื่อให้ผ่านด่านตรวจแต่ละจุดได้อย่างง่ายดาย และที่สำคัญคือต้องพกพาสปอร์ตติดตัวไว้ตลอดเวลา เพราะไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ทหารเจอเขาจะขอตรวจดูเสมอเมื่อเจอ

ขับรถออกสนามบินสักพักเราก็เจอสิ่งที่น่าแปลกใจอย่างหนึ่งก็คือ ตามข้ามข้างทางมีรถจอดเรียงคันกันยาวมากก แล้วไม่มีคนอยู่ในรถ หรืออยู่เฝ้ารถสักคัน ด้วยความสงสัยเลยถามไกด์ดู ไกด์เล่าว่า

“ปัญหาราคาน้ำมันปั่นป่วนในประเทศเยเมนก็เป็นสิ่งนึงที่ยังคงย้ำแย่ไม่สิ้นสุด ด้วยเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอาหรับแลัว การมีสงคราม และมือที่สามที่เข้ามาข้องเกี่ยวเลยเป็นสิ่งที่ยิ่งซ้ำเติมประชาชนที่นี่เข้าไปอีก การเห็นซากรถที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง หรือ คิวรถที่จอดทิ้งไว้ยาวเป็นหางว่าวถือเป็นเรื่องปกติ”

ไกด์บอกเราว่า ราคาน้ำมันของที่นี่จะผันผวนไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง และกว่าจะมีน้ำมันเข้ามาให้เติมก็ต้องใช้เวลาหลายวัน ผู้คนที่นี่ที่จอดรถทิ้งไว้ก็ต้องออกมาโบกรถข้างถนน หรือไม่ก็เดินเอา ถ้าใครรีบก็จะมีน้ำมันในตลาดมืดที่ใส่ในแกลลอนขายตามข้างทางใกล้กับปั้มน้ำมันซึ่งราคาก็จะยิ่งสูงไปอีก

การเดินทางไปมาหากันในเยเมนสำหรับคนบางกลุ่มจึงเป็นสิ่งที่ต้องจำเป็นจริงๆหรือสำหรับคนในประเทศบางกลุ่มที่ยังมีเงินใช้จ่าย ก็จะมีปั้มน้ำมันที่ขายในอีกราคาให้เติมปกติ มันก็จะมีความความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนหน่อยสำหรับที่นี่

เย็นวันแรกของการมาถึงเมือง Seiyun ประเทศเยเมน ไม่มีอะไรมากจะเป็นการนั่งรถไปยังที่พัก ระหว่างทางเราก็จะเห็นวิถีชีวิตผู้คน และบ้านเรือน ตลาด และสิ่งก่อสร้างต่างๆ บอกตรงๆว่ารู้สึกช็อกมาก เพราะบรรยากาศต่างๆในเมือง ดูย้อนยุค ไม่ว่าจะเครื่องแต่งกายของผู้คน บ้านเรือน ข้าวของเครื่องใช้ มือถือที่ชาวเยเมนใช้รุ่นเก่าๆอยู่เลย

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่พักคืนแรกของพวกเรา Hawta Palace Hotel เป็นเหมือนโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวโดยดฉพาะตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองอยู่พอสมควร

บรรยากาศรอบๆเงียบสงบ มีสวน สระว่ายน้ำ ห้องอาหารพร้อม รอบโรงแรมมีกำแพงรามล้อมพร้อมกับป้อมไว้สังเกตการณ์

เมื่อเชคอิน เก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ และจะได้นั่งคุยเรื่องแผนการเดินทางกับไกด์ เมื่อเดินมาถึงที่โต๊ะเราก็ได้พบเจอกรุ๊ปนึง มีทั้งนักเดินทางและไกด์นั่งกันก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เลยได้ทักทาย และนั่งร่วมโต๊ะกัน เลยทำได้รู้ว่า พวกเขาเป็นนักข่าวสารคดี มาทำสารคดีในเยเมนมาอยู่เป็นเดือนแล้ว เรารู้สึกโชดดีมากที่ได้เจอพวกเค้า เพราะเราเองก็อยากรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้จริงๆ และเราเองก็อยากไป Sana’a มาก แต่ด้วย สถานการณ์ ณ ตอนนี้ คนบนโต๊ะต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า “อย่าไป” เพราะที่นั้นมีแต่ความรุงแรง และจะรุงแรงขึ้นกว่าเดิม ไกด์อีกกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจาก Sana’a พูดด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง และได้บอกว่า

” ทุกอย่างได้เปลื่ยนไปแล้ว และมันจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม สงครามกลางเมืองยังคนดำเนินต่อไป”

พอไกด์พูดจบ ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและบอกกับเพื่อนไกด์อีกคนว่า

” ฉันจะย้ายประเทศไปอยู่ที่ไหนสักแห่ง จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั้น กับ ภรรยาและลูก “

และคืนนั้นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้เจอกับเขา

เราเองที่ได้ยินเรื่องราวจากโต๊ะกินข้าวในครั้งนี้คืนแรกที่ได้เหยียบประเทศเยเมน ก็รู้สึกช็อกเหมือนกัน ความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ทำให้ใครหลายคนอาจตัดสินใจหนีออกนอกประเทศ ซึ่งแน่นอนว่า การเลือกเส้นทางเดินเส้นนี้ ไม่ได้ทำมีความสุขมากนักกับการจากบ้านเกิดเพื่อไปเริ่มชีวิตใหม่ ในที่ที่ไม่คุ้นเคย และไม่รู้จัก เราเองก็หวังว่า การเริ่มต้นในที่ใหม่ของเขา จะทำให้เขาได้พบเจอความสุขอีกครั้ง

DAY 2

เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง เดินทางออกจากเมิอง Seiyun เพื่อไปยังเมิอง Tarim ซึ่งเป็นเมืองนึง ที่มีความสำคัญทางศาสนา มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม มีโรงเรียนสอนศาสนาอยู่หลายแห่ง ไกด์เล่าว่ามีนักเรียนต่างชาติที่เดินทางเพื่อมาศึกษาที่เมืองแห่งนี้ ส่วนมากจะเป็น ชาวอินโด ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย เพราะฉะนั้นชาวเยเมน เลยคุ้นเคยและเป็นมิตรกับคนเหล่านี้มาก แต่สำหรับชาวต่างชาติ อย่างชาติตะวันตก ที่เดินทางมาท่องเที่ยว จะเดินทางไม่ง่าย เหมือนอย่างชาวเอเชียที่ยกตัวอย่างมานัก เพราะเขาจะมองว่า มีเงิน จะเดินทางแต่ละครั้ง ต้องมีรถนำขบวน จ้างตำรวจ ทหาร มาคุ้มกัน เพราะในเยเมน มีข่าวผู้ก่อการร้าย ดักปล้นระหว่างทาง และนักท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นตัวประกัน มาเรียกไถ่ มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

ระหว่างที่กำลังเดินทาง ก็มาจอดตลาดข้างทางแห่งนึงที่ดูวุ่นวายมาก มองใกลๆเหมือนพวกเขากำลังชื้อใบอะไรกันอยู่ ซึ่งทุกร้านก็ขายแต่ของพวกนี้ทั้งนั้น สักพักไกด์เดินกลับมาแล้วบอกว่า ที่นี้คือตลาดมืด คนพวกนี้จอดรถเพื่อมามาชื้อใบคัต หรือ แกต (khat) กัน เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในจงอยแอฟริกาและคาบสมุทรอาหรับ พืชชนิดนี้มีความสำคัญในทางสังคมของบริเวณดังกล่าวมาหลายพันปี ชาวแอฟริกาและชาวเยเมนนิยมนำใบมาเคี้ยว ในใบมีสารที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนอย่างอ่อน ทำให้รู้สึกสนุกสนาน และกระตุ้นระบบประสาทได้อย่างดี เหมาะสำหรับการขับรถเดินทางไกลๆ ทำให้ไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนือยหรืออ่อนเพลีย พอไกด์พูดจบก็ยื่นมาให้เราชิม ลองเคี้ยวดู และให้อมไว้ข้างกระพุ้งแก้มเพื่อให้สารมันค่อยๆออกฤทธิ์ แต่ตอนนั้นเราคงได้ลองในจำนวนที่น้อย ซึ่งก็คงไม่ได้รู้สึกอะไร

ก่อนจะไป Tarim เราแวะชม Qabr Hud กันก่อน สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่สำคัญมากๆในเยเมน เป็นแหล่งรวมนักเรียนศาสนาอิสลามจากทั่วโลก มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เป็นแหล่งสถานศึกษา และยังเป็นสถานที่ฝั่งศพของบุคคลสำคัญอีกด้วย

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงเมือง Tarim ไม่รู้ว่าเรามาในเวลาที่เร็วไปมั้ย แต่ตอนไปถึง คนในเมืองไม่มีเลย เหมือนเป็นเมืองร้าง ไกด์เลยพาเดินชมรอบเมือง ลัดเลาะไปตามบ้านเรือนต่างๆ และเล่าสถานที่แต่ละแห่งให้พวกเราฟัง

เดินชมสักพักก็ยังไม่เจอผู้คนอยู่ดี จนต้องถามไกด์ว่าทำไมเมืองมันเงียบแบบนี้ ไกด์บอกว่า คนเยเมนจะเริ่มออกมาใช้ชีวิตก็ตอนประมาณหลังเที่ยง ตอนนี้เหมาะแก่การชมเมืองแล้วเดี๋ยวสักพักเขาจะพาเดินไปชมมัสยิดที่เป็นห้องสมุดที่สวยที่สุดในเมือง Tarim

และแล้วเราก็มาถึงมัสยิดที่มีชื่อว่า Al-Muhdhar Mosque เป็นมัสยิดที่สวยที่สุดในเมืองแห่งนี้ ชั้นล่างเป็นห้องสมุดที่เก็บรักษาคัมภีร์ต่างๆไว้มากมาย สถานที่แห่งนี้จึงมีความสำคัญมาก ในทางหลักศาสนาของอิสลาม เรามาสามารถชมความงามได้แค่ข้างนอก ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ แต่ได้เห็นแค่นี้ถือว่าดีแล้ว

ระหว่างทางกลับจากเมือง Tarim ไปยังที่พัก เมือง Seiyun ไกด์ขับรถพาขึ้นเขาไปชวิวมจากกด้านบนเมื่อมองลงมาจะเห็นเป็นมัสยิดที่ใหญ่มาก สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานศึกษาอีกด้วย

ก่อนกลับที่พัก ไกด์ได้พาพวกเราไปกินร้านอาหารท้อนถิ่น บรรยากาศภายในร้านเสียดังมาก มีคนเข้าออกอยู่ตลอด มีโซนทานข้าวอยู่สองโซน คือ โซนนั่งโต๊ะกับนั่งทานที่พื้น ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเห็นคนท้องถิ่นนั่งทานกันที่พื้นใช้มือกิน

ระหว่างที่นั่งดูบรรยากาศไปสักพัก อาหารก็มาเสริฟที่โต๊ะ มื้อนี้ไกด์สั่งไก่ย่าง และข้าวที่ในจานมีถ้วยซุปเล็กๆอยู่ด้วย เราชอบข้าวมาก ข้าวที่คนเยเมนใช้กัน จะมีเม็ดที่เรียวยาว ดูจากสายตามันอาจจะดูแห้ง แต่พอตักเอาน้ำซุปมาราด มันทำให้ข้าวอร่อยและกินง่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนไก่ย่าง เราชอบมาก ย่างมได้อย่างพอดี ไม่แห้งไป ส่วนหนังไก่นี่กรอบสุดๆ

DAY 3

ออกเดินทางแต่เช้ามืดเพื่อไป Wadi Dawan ใน Google Map บอกว่าเดินทางแค่ 2 ชั่วโมงเท่าจริงแต่เอาเข้าจริง กว่าจะถึงจุดหมายใช้เวลาไปทั้งหมดเกือบ 5 ชั่วโมง ด้วยที่ว่าพิ้นที่ที่ไป มันใกล้พื้นที่สู้รบ จุดตรวจด่านต่างๆ จึงมีความเข้มงวดมากขึ้น กว่าจะผ่านแต่ละจุดได้คือต้องใช้เวลา และด้วยภูมิประเทศที่เป็นทางถนนเลียบหน้าผาเลยทำให้คนขับรถใช้ความเร็วได้ไม่มาก

ตลอดเวลาที่เราหลับๆตื่นๆอยู่บนรถที่โครงเครงอยู่ตลอดเพราะถนนที่เป็นลูกรังตลอดเส้นทาง ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายของเรา Wadi Dawan เป็นหมู่บ้านโบราณที่สร้างขึ้นท่ามกลางทะเลทราย อาคารต่างๆทำโดยอิฐโคลน จนต้องยกให้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่อัศจรรย์ที่สุดในโลก กันไปเลยทีเดียว เพราะนี่คือหมู่บ้านที่สร้างอยู่บนพื้นที่จำกัดบนภูเขาหินที่ความสูง  150 เมตร จากพื้นราบ ด้วยจำนวนประชากรที่มีมากและพื้นที่จำกัดบ้านเรือนจึงถูกสร้างทับซ้อนกันหลายชั้น

วิวที่เรามองเห็นมาจาก รร แห่งหนึ่งใกล้ๆกับหมู่บ้าน ที่อยุ่บนเนินสูง เป็นโรงแรมเดียวที่สามารถมองเห็นวิวอันงดงามของหมู่บ้าน Wadi Dawan ได้ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีที่พักดีๆที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายแบบนี้ด้วย หลังจากที่พวกเราเดินสำรวจรอบที่พัก ดูมุมถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ๆก็ได้ยินเสียงขบวนรถ พร้อมกับเปิดเพลงเสียงดัง เข้ามาในบริเวณที่พัก สิ่งที่พวกเราเห็นคือ กลุ่มเด็กเยเมน ที่ยกขบวนมาพักผ่อนที่ โรงแรมนี้เช่นกัน

ไม่ใช่แค่พวกเราที่ตกใจ แต่เหล่าวัยรุ่นเยเมนก็ตกใจเช่นกัน ที่เห็นชาวเอเชีย 2 คน ที่มาพักที่นี้เช่นกัน พวกเขาเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตร และถามว่าพวกเรามาจากประเทศไหน มายังไง อยากมาห็นอะไรในเยเมน เป็นภาษาอาหรับ บทสนทนาต่างๆเราพูดคุยผ่านไกด์ หลังจากที่คุยกันอย่างหอมปากหอมคอเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ละลึก ทั้งเค้าและเราต่างอยากมีภาพถ่ายเก็บไว้เหมือนกัน คำกล่าวลาของพวกเขาคือ “ขอให้พวกคุณพบเจอสิ่งสวยงามในเยเมนนะ”

มื้อเที่ยงของพวกเราคงไม่ต่างจากมื้อก่อนๆ ประเทศที่รายล้อมไปด้วยทะเลทรายแบบนี้ การปลูกพืชผัก และวัตถุดิบต่างๆเลยไม่หลากหลาย คงมีเมนูแบบนี้แหละที่พวกเราจะเจอตลอดทริปในประเทศเยเมน

หลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จเราก็กลับห้องไปเพื่อพักผ่อน และออกมาอีกครั้งในเวลาตอนเย็น เพื่อมาเก็บรูป ในช่วงพระอาทิตย์ตกดินกับหมู่บ้าน Wadi Dawan เมื่อถึงเวลานี้เรารู้สึกว่า บรรยากาศรอบๆกลับเงียบลง มีแต่ความสงบ เสียงนกที่บินอยู่รอบๆ เราคอยมองภาพที่อยู่ตรงหน้า ค่อยๆเปลื่ยนไปเรือยๆ แสงที่ตกกระทบกับพื้นดิน ทำให้เห็นพื้นดินเป็นสีเหลืองมีสีสันที่สวยงาม

แสงสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า จบไปอีกวัน ที่เราได้เห็นความสวนงามของโลกใบนี้และได้พบกับมิตรภาพดีๆจากวัยรุ่นเยเมนที่มาพักที่เดียวกัน การได้พบเจอสถานที่แปลกใหม่ เจอผู้คนที่พูดต่างภาษา การแต่งกายประจำถิ่นที่เราไม่คุ้นเคย การเปิดใจลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่ๆ ทุกสิ่งเหล่านี้ต่างเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าจริงๆ

DAY4

ก่อนจะเดินทางกลับเมือง Shibam ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายในทริป Mainland Yaman ของพวกเรา เรามีแพลนต้องลงไปเยื่ยมชมหมู่บ้าน Wadi Dawan กันก่อน หลังจากที่รับประทานอาหารเช้า จัดการเเก็บกระเป๋าขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลุยกันเลย

ระหว่างทางวันนี้โชดดีสุดๆที่ได้เห็นชุดท้องถิ่นของผู้หญิงที่ต้องใส่เพื่อทำงานกลางแจ้งแลัว ซึ่งเราจะสามารถพบได้ตามข้างทางที่เป็นพื้นที่ไร่นาในเวลาเก็บเกี่ยวหรือเวลาปลูก

หมวกที่เห็นเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่เรียกว่า Madhalla Hat หมวกจะเป็นทรงยาว เห็นเด่นชัดแต่ไกล จริงๆก็แอบดูน่ากลัวนะ เพราะพวกเค้่าจะใส่ชุดคลุมสีดำด้วย เหมือนอย่างกับแม่มดเลย การจะถ่ายรูปพวกเขา ต้องอย่าให้เขาเห็นจังๆ เพราะเขาจะเดินไปหยิบก้อนหินแล้วปาใส่รถของพวกเรา ดังนั้นการจะถ่านรูปนั้นก็ต้องถ่ายให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้โดนจับได้

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้าน Wadi Dawan จากข้างล่างเพื่อชมความงามและความเป็นอยู่ของผู้คน

หมู่บ้านโบราณที่สร้างขึ้นท่ามกลางทะเลทราย อาคารต่างๆทำโดยอิฐโคลน ด้วยอากาศที่เป็นร้อนชื้น การทำบ้านโดยดินโคลนแบบนี้ น่าจะทำให้อากาศในบ้านเย็นด้วย

เท่าที่สังเกตุทุกหมู่บ้านจะมีบ่อน้ำ หรือที่สูบน้ำ ทุกหมู่บ้าน และจะมีรถบรรทุกมาเติมให้ตลอดเพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้ำใช้ดื่มและทำอะไรต่างๆได้ โดยเราได้ยินจากไกด์มาว่า น้ำพวกนี้มาจากคนรวยในเยเมน ที่คอยช่วยเหลือคนจนในประเทศไม่ให้อดอยาก

เป็นภาพที่เห็นทุกหมู่บ้านเด็กๆออกมาวิ่งเล่นกัน ในความสุขเล็กๆ ที่ไม่ต้องมีเครื่องเล่นราคาแพงๆ แต่พวกเขาก็สามารถมีความสุขได้ ท่ามกลางธรรมชาติ ถือว่าเป็นวิถีชีวิตที่ต่างจากที่เราอยู่กัน

ระหว่างที่เดินชมเมืองไปเรือยๆ จะมองเห็นว่าบ้านเรือนจะสร้างบนเนินเขาทั้งนั้นเลย

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่เราเห็นจากข้างบนมาตลอด มาชมข้างล่างกันบ้าง เวลามองจากข้างยนดูมันไม่สูง แต่พอมาเห็นจากข้างล่างก็ตั้งสูงอยู่เหมิอนกันนะ ไกด์เล่าว่า ทางขึ้นของภูเขาลูกนี้เพื่อเข้าหมู่บ้าน มีทางเดียว และที่สร้างไว้สูงแบบนี้ก็เพื่อกันการรุกรากของพวกโจรในสมัยก่อนนั้นเอง

 ระหว่างทางก็จะเจอกับ Al-Hajjarayn เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในทางตะวันออกของเยเมน บ้านเรือนตั้งอยู่ตรงเนินเขา กับภูเขาที่มียอดเขารูปร่างทรงประหลาดที่ดูสวยงามไม่เบาเลย

พอถึงเวลาเลิกเรียรเด็กๆนักเรียนมุสลิมก็ออกมาทานน้ำกัน เป็นภาพที่พบเจอได้บ่อยระหว่างทางบนท้อนถนน

เป็นเหตุการณ์ที่พบเจอได้บ่อยเช่นกันในเยเมน เราจะพบเจอผู้หญิงใส่ชุดคลุมสีดำ นั่งตามท้องถนน เป็นขอทาน ซึ่งน่าสงสัยที่มีแค่ผู้หญิงที่ต้องมาเป็นแบบนี้ แต่ผู้ชายกลับไม่มีเลย นี่คงเป็นความเหลื่อมล้ำในสังคมชายหญิงในเยเมนแน่นอน น่าเศร้าใจจัง

พอขับรถเข้ามาในเมืองซึ่งก็เป็นช่วงเย็นแล้ว สีสัน ผู้คนก็เริ่มออกมาใช้ชีวิตเยอะขึ้น บรรยากาศเริ่มคึกคัก แน่นอนเราเดินทางกลับมาถึง เมือง Shibam แล้ว ซึ่งสถานที่ที่เราจะไปชมกัน จะเป็นโซนเมืองเก่า

ในโซนเมืองเก่าก็จะมีสุเหร่า โรงเรียน และ บ้านเรือที่ทั้งหมดสร้างจากอิฐโคลน และประมาณ 500 หลังเป็นตึกสูงประมาณ 5 ถึง 11 ชั้น รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ใช้เพื่อปกป้องผู้อยู่อาศัยจากการโจมตีของผู้รุกรานในสมัยอดีต

แต่ที่น่าสนใจคือ ตรงหน้าต่างจะมีม่านสีขาว ตกแต่งสวยงาม ทำให้ตึกดูมีสีสันขึ้นมา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมาก และเป็นหนึ่งในแบบอย่างการสร้างเมืองงที่เก่าแก่ที่สุดและดีที่สุดของการวางผังเมืองตามหลักการของการก่อสร้างในแนวดิ่งอีกด้วย

Manhattan of the Desert (Shibam)

ฝันเป็นจริง ! สวยกว่าที่คิดมากก แต่เพราะสงครามอีกแลัว ทำให้ไม่สามารถเดินไปถ่ายรูปเล่นข้างล่างรอบๆเมืองได้ ต้องอยู่แต่จุดชมวิว ถ่ายรูปเสร็จขึ้นรถกลับเลย (ซึ่งก็เป็นจุดนึงที่เคยเกิดเหตุการณ์ระเบิดพลีชีพ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เสียชีวิตไป 4 คน ทางเกาหลีกับประเทศอื่นๆ เลยแบนไม่ให้คนประเทศเค้ามาเยเมนไปเรียบร้อย)

ชิบาม เมืองที่อาคารทุกหลังสร้างด้วยอิฐดินเหนียวตากแห้ง(ไม่ได้เผา) แต่ละหลังมีความสูงประมาณ15-30เมตร(5-11ชั้น) ของเดิมมีการสร้างกันมาตั้งแต่ยุคก่อนอิสลาม และมีการสร้างทับซ้อนกันต่อมาเรื่อยๆ ก็แน่ล่ะ สร้างจากดิน เจอน้ำท่วม พายุทรายหรือการโจมตีจากพวกเบดูอิน(โจรสลัดแห่งทะเลทราย) ย่อมมีการเสื่อมไปตามกาลเวลา

แต่ในปี1532-1533 เกิดน้ำท่วมใหญ่และท่วมขังอยู่นานเกือบปี ทำให้อาคารเก่าแก่พังลงเกือบ90% จึงต้องมีการสร้างขึ้นใหม่ โดยเสริมฐานล่างให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น ขยับที่ตั้งของเมืองให้ขึ้นไปอยู่บนที่ลาดริมเขา ทำทางระบายน้ำลงสู่เบื้องล่างป้องกันน้ำท่วมขัง ทำให้เมืองระฟ้ากลางทะเลทราย ยืนท้าทายสายตานักท่องเที่ยวอย่างองอาจทรนงมาจนถึงปัจจุบนนี้ ก็ประมาณเกือบ500ปีแล้ว

ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนชิบามให้เป็นมรดกโลกทางสถาปัตยกรรม และมรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตราย(จากภัยธรรมชาติและการก่อการร้าย)มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เดินทางไปชมยากมาก แต่เราก็ได้ทำตามความฝันและได้มาเห็นกับตาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การเดินทางครั้งนี้คงเป็นการที่มีค่าสำหรับพวกเ่ราเลยก็ว่าได้

is it safe to travel in Yemen ?

เยเมน ยังคงมีสถานการณ์สงครามอยู่ แต่จะอยู่ตรงภาคเหนือของประเทศ ส่วนที่เราเที่ยวอยู่จะเป็นภาคใต้ แต่ถ้าถามว่าอันตรายมั้ย มันก็ยังอันตรายอยู่ เพราะด้วยพื้นที่ที่เราอยู่มันเป็น Cross Border ที่กว้างมาก แม้จะมีการวางจุดตรวจของทหารตามแต่ละมุมของพื้นที่ แต่ไกด์ก็บอกว่า มีบ้างที่เล็ดลอดมาได้ อาจจะด้วยเหตุผล ระเบิดพลีชีพ หรือ ลักพาตัวนักท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีการลักพาตัวเกิดขึ้นมาแลัว กับนักเดินทางชาวอังกฤษ กับ เยอรมนีโดนเรียกค่าไถ่บานเลย แต่ไกด์ก็บอกนะว่า สำหรับคนไทย อินโด มาเลย์ ญี่ปุ่น หรือแถบเอเซีย จะไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่ ดังนั้นการเดินทางท่องเที่ยวในเยเมน ควรมีไกด์ และคนขับรถที่ไว้ใจได้คอยดูแล เพราะหน้าที่ไกด์ ในแต่ละวันคือเค้าจะคอยโทรเชคกับเจ้าหน้าที่คอยดูแลให้ข้อมูลแต่ละจุดตลอด จะเข้าพื้นที่ไหนต้องแจ้ง พอจะออกจากพื้นที่นั้นแลัวก็ต้องแจ้งเหมือนกัน ไกด์บอกว่า วันนึงก็ประมาณ 20 กว่าสาย ระหว่างการเดินทางเลยจะเห็นไกด์ใช้โทรศัพท์ตลอด ก็ดูน่าอุ่นใจดีนะ แต่ส่วนนึงที่ดีคือ ไกด์หรือคนขับรถ สามารถพกปืนได้เช่นกัน แต่เค้าก็บอกแหละว่า “ ไม่เคยได้ใช้เลย “ ซึ่งข้อนี้ก็อยู่ใน Security Clearance ที่เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเมื่อมาเที่ยวในเยเมน

ทริปเยเมนใต้ทั้งหมดโดยรวมแลัว เป็นการนั่งรถเที่ยว แวะตามจุดต่างๆ การถ่ายรูปส่วนใหญ่จะถ่ายจากบนรถ และหลีกเลี่ยงตามจุดที่คนเยอะ ไม่พูดคุยกับผู้คนนักไม่งั้นจะเริ่มเข้ามารุมกัน ถึงแม้พวกเค้าจะเฟรนด์ลี่แต่ก็ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า เป็นทริปที่ประทับใจดีนะ คนที่นี่ดีมาก สถานที่พิเศษสุดๆ อาหารอร่อย ไม่อยากให้มีสงครามไรกันเลย อยากให้คนมาเที่ยวกันเยอะๆ เพราะนี่ไปก็มีแค่กรุ๊ปเราแค่นั้นแหละ เงียบเหงามาก ทั้งที่เป็นหน้าเที่ยวแลัวแท้ๆ

“ เมื่อหลายปีก่อนนักท่องเที่ยวมาที่เยเมนกันเยอะมาก แต่พอมีเสียงระเบิดตู้มแรก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด “

ปิดท้ายด้วยคำพูดทิ้งท้ายของไกด์ที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ระเบิดพลีชีพ Pink Cafe ที่จุดชมวิว Shibam เป็นเหตุการณ์ที่น่าเศร้ามาก และมันก็เปลี่ยนเยเมนจนถึงทุกวันนี้

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s