Cherry Blossom 2015 : 10 DAY In JAPAN.
ทริปนี้เป็นทริปครอบครัวพวกเราอยากเห็นดอกซากุระที่ญี่ปุ่น เลยจัดทริปญี่ปุ่น ช่วงซากุระ ช่วงวันที่ 15-25 April 2015 ซึ่งการเดินทางทั้งหมด 10 วันนั้นแผนการเดินทางเป็นดังนี้ครับ Tokyo (Narita Airport) – Matsumoto – Tokyo (Ueno) – Gala Yuzawa – Kuruizawa – Yokohama – Lake Kawaguchiko – Japan Alp – Tokyo ( Narita Airport)
DAY 1
เมืองแรกที่เราได้ไปชมซากุระกัน ก็คือ เมือง Matsumoto นั้นเอง เมืองที่ขึ้นชื่อว่า มีปราสาทมัตสึโมโต้ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าประจำชาติของญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยื่ยมชมกันไม่ขาดสาย ใครจะรู้ว่าสถานที่ปราสาทมัตสึโมโต้แห่งนี้ มีสวนอยู่ใกล้ๆด้วย และตอนที่เรานั้น ดอกซากุระกำลังบานสะพรั่งเลย มาดูความสวยงาม ของปราสาทแห่งนี้ และบรรยากาศรอบๆ ที่สวยงามกันเลย แต่ก่อนจะไปชมความงามของปราสาทมัตสึโมโต้ ขอแนะนำโรงแรมที่เราพักก่อน นั้นก็คือ HOTEL MORSCHEIN นั้นเอง เราได้เคยทำรีวิวมาแล้วใน Blog นี้ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว [Review] HOTEL MORSCHEIN ( DOUBLE ROOM WITH SMALL DOUBLE BED ) AT MATSUMOTO CITY. (JAPAN)
1.Matsumoto Castle.
จุดเด่นของปราสาทมัตสึโมโต้แห่งนี้ มีสะพานแดงสวยงามอยู่ด้วย ช่างเข้ากันจริงๆ มุมมหาชนที่ใครมาแล้ว ต้องถ่ายเก็บไว้ แต่ถ้าหากอยากได้ภาพที่สวยงามอีก ต้องรอช่วง Twilight เพระเราอยากได้ภาพที่ปราสาทเปิดไฟยามค่ำคืน โดยที่ฟ้ายังเป็นสีน้ำเงินอยู่ ทำให้ภาพนั้นลงตัวมากกว่า ถ่ายตอนฟ้ามืดสนิท จะทำให้การถ่ายภาพนั้นยากขึ้นไปอีก
ข้างๆปราสาทนั้นมีคูน้ำอยู่ มีต้นที่ออกดอกซากุระเยอะเลย ยิ่งตอนกลางคืนเปิดไฟด้วย จะได้ไฟ กับต้นดอกซากุระ สะท้อนกับผิวน้ำ สวยงามมากๆ เนืองด้วยวันแรกที่เรามาถึงเมือง Matsumoto ก็ตกเย็นแล้ว เลยยังไมไ่ด้เก็บบรรยากาศที่สวนรอบๆ ปราสาทมัตสึโมโต้ เราเลยตั้งใจจะไปเก็บภาพอีกวันแทน ช่วงเช้า
DAY 2
เช้าวันที่สองเรารีบตื่นกันแต่เช้ามืดเลย ตั้งแต่ตี 4 เพราะช่วงที่เราไปนั้น พระอาทิตย์ขึ้นไวมาก อย่าลืมเชคแอฟพยากรณ์ต่างๆด้วยนะครับ จะได้ไม่พลาด หากอยากได้ภาพดีๆ ช่วงเวลาคือสิ่งสำคัญ เรารีบตื่นขึ้นมา อาบน้ำ แต่งตัว รีบเดินไปยังปราสาทมัตสึโมโต้ ช่วงเช้าอากาศเย็นมาก สดชื่น เมืองแห่งนี้ช่วงเช้า เป็นเวลาที่ชวนผ่อนคลายมากๆ เมืองค่อนข้างเงียบ สงบ ไม่วุ่นวายเหมือนเมืองใหญ่ๆ เดินประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว เราเดินมาถึงก็ 5:30 พอดี ตอนเช้าๆ บรรยากาศรอบๆปราสาทนั้น มีคนมาเดินเล่นตอนเช้าเหมือนกัน บ้างก็จูงหมามาเดินเล่น มีช่างภาพมาเก็บภาพด้วยเหมือนกัน เช้าวันนี้สดใสมากๆ ฟ้าใส แสงแดดกำลังจะมา พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น
ช่วงเวลานั้นน้ำนิ่งมาก เราเลยได้เห็นภาพเงาสะท้อนของตัวปราสาท ทำให้ภาพดูมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น นักท่องเที่ยวเริ่มมากันแล้ว ณ เวลานี้ ดอกซากุระบานแล้ว 100% มาชมบรรยากาศกันเลยดีกว่า
บรรยากาศรอบๆห้องน้ำ ตรงปราสาทมัตสึโมโต้ ยังสวยงามขนาดนี้ แล้วส่วนอื่นจะขนาดไหน
ที่นี้มีหงส์ด้วย ตัวใหญ่มากๆ เป็นตัวประกอบให้ภาพนี้สวยงามยิ่งขึ้นอีก
ดอกซากุระ เต็มไปหมดเลย
ช่างภาพชาวต่างชาติก็มาเก็บภาพบรรยากาศของซากุระที่สวนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
มองๆดูแล้วภาพนี้เป็นภาพที่ผมคิดว่าสวยที่สุดแล้ว ในเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก ดูโรแมนติกดี
เมื่อดอกซากุระ บานเต็มที่แล้ว ก็คงถึงเวลาที่มันจะร่วงโรยลงไป เป็นที่น่าเสียดายที่กลับร่วงหมดในเพียงแค่ 1สัปดาห์ ซากุระจะบานพร้อมกัน และร่วงพร้อมกัน เวลาที่ดอกซากุระร่วง จะเป็นภาพราวกับหิมะจำนวนมาก ดังนั้น จึงเรียกภาพซากุระที่ร่วงหล่นนี้ว่า “桜吹雪 (cherry blossoms blizzard)”
นักท่องเที่ยวเริ่มเยอะขึ้นเรือยๆ มีนักเรียนมาเดินเล่นชม บรรยากาศซากุระที่สวนนี้ด้วย ดูแล้ว ได้อารมณ์ญี่ปุ่นแบบแท้ๆเลย
Agatanomori Park
เราถ่ายรูปกันตั้งแต่เช้า จนถึงเทียงเลยทีเดียว จึงอยากจะย้ายที่ถ่ายรุปบ้าง แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะไปที่ไหนดี มองดูในแผนที่ มีสวนแห่งนึงในเมืองซึ่งน่าสนใจ ชื่อว่า Agatanomori Park และเดินทางไม่ยากด้วย การเดินทางเราเริ่มจากสถานีรถไฟหลัก Matsumoto Station เลย ด้านหน้าของสถานีจะมีป้ายรถเมล์ ดูตามในแผนที่แล้วเลือกนั่งรถเมล์สายที่ไปถึง แล้วนั่งไปเลย ไม่เกิน 15 นาที ก็ถึงแล้ว
หน้าตาป้ายรถเมล์ที่เราลงกันครับ หน้าตาเป็นแบบนี้
บรรยากาศรอบๆ สวยงามมากๆ สวนแห่งนี้ ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ดูในรีวิวใน pantip.com ก็ไม่มีเลย รู้สึกว่าจะเป็นสถานที่พักผ่อนของคนญี่ปุ่นในถิ่นนี้
รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ มีให้พบเห็นได้ทั่วไปในเมืองที่อยู่ ณ ชนบท เห็นแล้วน่ารักจริงๆ เลย
ช่วงที่เราไปถึงนั้นเป็นช่วงบ่ายๆ เราได้เจอกลุ่มนักเรียนเด็กๆกำลังเดินไปเรียนกัน ก็ไม่รู้ว่าทำไมมากันตอนบ่ายๆ เพราะเราดันเดินตามไปด้วย ด้วยความสงสัย เดินไปถึงหน้าโรงเรียนเลย ด้วยความอยากรู้ จึงรู้ว่าโรงดรียนวันนั้น มีสอนคาบบ่าย เลยเจอเด็กๆนักเรียน ช่วงเวลานี้ ก็เลยได้ภาพเด็กนักเรียนญี่ปุ่น มาเพิ่มเติมเรื่องราวในภาพเพิ่มขึ้นอีก
มีคุณลุงเดินออกกำลังกายด้วย สดใสดีจริงๆ
บ้างก็พาสุนัขออกมาเดินเล่น
บ้างก็พาครอบครัวออกมานั่งปูเสื่อกัน พกข้าวกล่องออกมากินคนละอัน พร้อมกับชมบรรยากาศซากุระที่สวนสาธารณะแห่งนี้
สวนแห่งนี้มีลานให้เล่นกิจกรรมมากมาย มีผู้สูงอายุมาเล่นกีฬากันเยอะแยะมากมายเลย เหมือนกับว่า มีชมรมยังงั้นแหละ เห็นแล้วก็รู้สึกดี ที่วัยปูนนี้แล้ว ยังหากีฬาเล่นกันอยู่ จะได้มีสังคม และออกกำลังกายไปด้วย เห็นได้ทั่วไปใน ชนบทแบบนี้ในญี่ปุ่น สรุปวันนี้เราถ่ายซากุระทั้งวัน ถึงกลางคืนเลย สนุกมากๆ พรุ่งนี้เข้าโตเกียวแล้ว มีที่อื่นที่ต้องไปอีก 🙂
DAY 3
ตอนนี้เราอยู่ ณ เมืองโตเกียว พักอยู่ย่านแถวๆ Ueno แผนการวันนี้พวกเราอยากไป เที่ยวเล่นหิมะ และเล่นสกีกัน หาข้อมูลดูในเน็ตก็พบว่า จากโตเกียวมีสถานที่นึงที่เป็นที่นิยม ผู้คนไปเล่นเยอะ นั้นก็คือ Gala Yuzawa นั้นเอง GALA ยูซาวะเป็นสถานที่ที่ใครๆก็ชื่นชอบ มีทางลาดที่หลากหลายและมีสถานที่เล่นสำหรับเด็กมากมาย เต็มไปด้วยวิธีที่จะสนุกสนานไปบนทางลาดมากมาย จนทำให้รู้สึกลังเลเลยล่ะว่าจะทำอะไรต่อไปดี GALA ยูซาวะตั้งอยู่ที่เมืองเอจิโกะ ยูซาวะ จังหวัดนีงาตะ อยู่ห่างจากโตเกียวมาทางทิศเหนือประมาณ 200 km พื้นที่นี้มีชื่อเสียงว่าเป็นสถานที่ที่มีหิมะตกลงมาปกคลุมมาก GALA ยูซาวะเป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถสนุกไปกับการลื่นไถลด้วยสกีจากความสูงตั้งแต่ 1,181 เมตร ไปจนถึง 358 เมตรได้ เป็นสกี รีสอร์ทที่เหมาะที่สุดในการทดสอบสภาพของหิมะที่ยอดเยี่ยม
วิธีการเดินทางไปยัง Gala Yuzawa Click!!
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.galaresort.jp/winter/thai/
ช่วงที่เราไปนั้น ไม่ใช่ช่วงพีค ไฮ ซีชั่น และเรามากันเช้า คนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เวลาเดินทางจากกรุงโตเกียว ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที ครับ หลับยาวๆ ได้เลย
เมื่อเราเดินเข้ามาจากประตูทางเข้าสถานีรถไฟ ก็จะพบกับ จุดชื้อบัตรเข้าไปเล่นด้านใน กว้างขวาง ใหญโตมากเลยครับ
ด้านหน้าเคาเตอร์จะร้านขายของฝาก และมีขายพวกอุปรณ์เล่นสกีด้วย ใครลืมเอามา ที่นี้ก็มีบริการขายครับ ไม่ต้องห่วง ส่วนอื่นๆ จะเป็นขนม และพวกเสื้อผ้า
เมื่อเราชื้อ Pass เพื่อเข้าไปเล่นแล้ว เราต้องเดินมากรอกข้อมูล ที่จุดนี้ก่อน ไปเช่ารองเท้า ถุงมือ และ อุปกรณ์เล่นหิมะครับ
ใครอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นไม่ต้องห่วงครับ มีใบแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านด้วย รายละเอียดในการกรอก ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ถามว่า เช่ากี่คน มีรองเท้ากี่คู่ ไซต์อะไรที่เช่าไป แค่นั้นไม่ยากเลย
จุดนี้ในลองรองเท้าก่อนครับ ว่าขนาดของตัวเองเท่าไหร่ก่อนไปกรอกในใบรายละเอียด
เมื่อกรอกใบข้อมูลเสร็จแล้วทุกอย่าง ก็เดินเข้าช่องนี้ แล้วยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ได้เลย และรอรับอุปกรณ์เล่นหิมะได้เลย และอย่าลืมอย่าเอาของที่ไม่ใช่ไปฝากในล๊อกเกอร์นะ โดยเค้าจะมีแบ่งเป็นชาย หญิง เอาไปฝากในนั้น ก่อนเดินทางด้วย กระเช้าเพื่อขึ้นไปบนภูเขาหิมะ
ระหว่างที่นั่งกระเช้าแล้ว ไต่ความสูงเพื่อขึ้นไปยังภูเขาหิมะแล้ว พอมองลงไปด้านล่าง จะเห็นตัวเมือง
ภาพบรรยากาศเมืองแบบเต็มๆ ครับมีหิมะปกคลุมทั่วไปหมด แต่ทำไมอากาศไม่ยักหนาวแหะ ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อผ้าไม่ค่อยหนาเท่าไหร่
ไม่นานนักพอเราขึ้นไปถึงก็พบกับจำนวนผู้คนจำนวนมาก มาเล่นกัน ณ บนนี้ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ เต็มไปหมด
สถานที่กว้างมากๆ หิมะขาวสะอาดมากครับ ยังใหม่ๆอยู่เลย
นอกจากจะมีโซนเล่นสำหรับผู้ใหญ่แล้ว ก็มีโซนสำหรับเด็กๆ และคนทั่วไปเล่นได้เหมือนกัน โดยจะมีลานสำหรับเล่นถาดเลื่อนหิมะ เล่นกันสนุกๆ ก็น่าสนใจเหมือนกัน สำหรับที่นี้แล้ว เหมาะสำหรับผุ้เล่นทุกเพศ ทุกวัย หรือใครอยากเล่นแบบจริงจัง ที่นี้ก็มีเปิดคอสสอนด้วย
สรุปแล้ว หากใครสนใจที่อยากจะเล่นอะไรแปลกใหม่ หรือเบือบรรยากาศในเมือง ก็สามารถเดินทางมาเที่ยวเล่นที่นี้ได้เลยครับ มีวิวสวย มุมดีๆ ให้ถ่ายรุปกัน จุใจเลย แถมมีกิจกรรมให้เล่นอีก คุ้มค่าจริงๆ ครับ พวกเราเล่นกันประมาณ 2 ชั่วโมงใกล้เที่ยงแล้ว เลยวางแผนจะไปเที่ยวที่ต่อไปกัน โดยสถานที่ที่เราวางแผนจะไปต่อนั้น เราจะไป Yokohama กัน แต่เราจะไปแวะกินข้าวที่ โตเกียวก่อน แล้วพอเย็นๆ ค่อยเดินทางไป โยโกฮาม่ากัน จุดประสงค์ที่จะไปก็คือ ถ่ายรุปเมืองตอนกลางคืนนั้นเอง เดินทางแค่ 30 นาที จากสถานโตเกียว
Yokohama City (โยโกฮาม่า)
หากสงสัยว่า เมื่องโยโกฮาม่าแห่งนี้ มีอะไรดีนะ ประวัติความเป็นมาเป็นอย่างไร ก็คือ โยโกฮามาเป็นเมืองท่าเรือแห่งแรกที่ทั่วโลกได้รู้จักว่าเป็นประตูสู่ประเทศญี่ปุ่น อารมณ์ของเมืองจะมีความเป็นฝรั่งๆ หน่อย ถูมิประเทศของเมืองนี้จะติดกับ อ่าว อากาศที่นี้จึงเย็นสบาย น่าเดินเล่นตอนเย็นมากๆ กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมกันคือ การมาเดินเล่นชม พระอาทิตย์ตก ณ ที่แห่งนี้
สถานที่ที่เราจะแนะนำก็คือ Ōsanbashi Pier นั้นเอง เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยว นั่งเล่น และเป็นที่ที่ช่างภาพชอบมาถ่ายรูปกัน ตอนกลางคืนนั้นเอง Nihonodori Station สถานีสุดสายเลย แล้วเดินออกมา ไม่ไกล ก็ถึงแล้ว
บรรยากาศรอบๆ นั้นดีมากๆ มีคู่รัก มานั่งชมบรรยากาศยามเย็นกัน มากมาย
พอตกดึก แสงสี ไฟจากในเมือง เริ่มเปิดกันแล้ว ช่วงเวลานี้เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เพราะจะได้ฟ้าที่น้ำเงินพอดี และแสงไฟจากในเมือง ที่ส่องสว่างสวยงาม หลังจากที่เก็บภาพกันหนำใจแล้ว ก็เตรียมตัวกลับ โตเกียวเลยครับ หาข้าวกินกัน และพักผ่อน เพื่อลุยต่อในวันพรุ่งนี้ จบวันที่ 3 ของการเดินทาง :))
DAY4
วันที่ 4 ของการเดินทางวันนี้อยู่ในเมือง โตเกียว วันนี้เป็นวันพักผ่อนไม่อยากออกไปไหนไกล เดินหาของกิน และ ช้อปของเล็กๆน้อยๆ พอช่วงเย็นๆ เราเดินทางไป Karuizawa เมืองที่ขึ้นชื่อ ว่าเป็นเมืองตากอากาศ บรรยากาศดี ร่มรื่น ผู้คนน้อย เพราะไปช่วงโลว์ซีซัน ฮ่าๆ แต่โดยรวมแล้ว บ้านเมืองสวยงาม แต่คนมันดูร้างๆไปหน่อย เวลาเดินเลยรู้สึกเหงาๆ ภาพไม่คอยได้ถ่ายเก็บมาไว้เท่าไหร่
วิวทะเลสาปขนาดใหญ่ เหมาะแก่การนั่งทอดสายตามองยาวๆ บรรยากาศสงบมากๆ หากมานั่งเล่น ณ จุดนี้ ตรงนี้เป็นจุดที่ชอบมากที่สุด เพราะเราจะเห็น น้ำที่นิ่งสงบ จนเราเห็นภาพสะท้อน ของต้นไม้ และ บ้านเรือน เมือง Karuizawa เป็นเมืองตากอากาศที่มีโรงแรมอยู่มากมาย หลายแห่ง ทั้งเล็กๆ จนไปถึงขนาดใหญ่ หรูหราเต็มไปหมด และก็มีบ้านเป็นหลังๆ อยู่เยอะเหมือนกัน อากาศเย็นสบาย เพราะเมืองแห่งนี้มีภูเขารายล้อมอยู่ จึงมีลมพัดมาตลอด สบายๆ พอพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะกลับเมือง โตเกียวกัน
DAY5 – 6 – 7
วันนี้เราตื่นเช้าหน่อย เพราะต้องขึ้นรถไฟขบวนแรกๆ เพื่อไปยัง Kawaguchiko Lake สถานที่ยอดนิยมที่คนไทย และชาวต่างชาติที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้ว จะต้องไปให้ได้ จุดเด่นของทะเลสาปแห่งนี้คือ จะได้เห็น ภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่อย่างยิ่งใหญ่ อยู่ริมทะเลสาปแห่งนี้ หากสภาพอากาศ และดวงดี จะได้เห็นภูเขาลูกนี้เต็มๆ หากโชดไม่ดี ก็อดเห็น ฮ่าๆ โหดร้ายๆจริง สำหรับผมแล้ว ทะเลสาปแห่งนี้ผมเคยมาตอนช่วง ฤดูใบไม้เปลื่ยนสี ครั้งนึงแล้ว แล้วได้จองบ้านพักแห่งนึง ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ 2 ชั้น เพราะครอบครัวผมมากันเยอะ การนอนบ้านหลังเดียวจึงสะดวกกว่า และพวกเราชอบทำอาหารด้วย ที่นี้มีครัว ห้องรับประทานอาหาร โต๊ะใหญ่ สะดวกสบาย มีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบหมดเลย และผมได้ทำรีวิวลงใน Blog แห่งนี้ด้วย จะเป็นอย่างไรสามารถกดเข้าไปชมได้เลยครับ
ที่พัก LAKE VILLA KAWAGUCHIKO @LAKE KAWAGUCHIKO ที่พักวิวภูเขาไฟฟูจิ และมีอ่างแช่ออนเซ็น.
LAKE VILLA KAWAGUCHIKO (SUPERIOR COTTAGE).
เราจองบ้านหลังนี้ ในทริปนี้ ทั้งหมด 3 วันอยู่ให้เต็มอิ่มเลย อยากใช้ชีวิตช้าๆ ที่นี้บ้าง ไม่ต้องรีบไปไหน อยากตื่นเช้ามาดูภูเขาไฟฟูจิ และ ตอนพระอาทิตย์ตกดิน อยากเดินชมต้นไม้ดอกซากุระ ที่อยู่ข้างทาง เดี๋ยวจะลงบรรยากาศรวมๆ ทั้ง 3 วันให้ชมกันนะครับ
ช่วงที่เราไปถึงมีเทศกาล ขายของต่างๆ รวมถึงอาหารด้วย มีให้เลือกหลากหลาย มาที่นี้ทีไร ชอบสั่ง ของย่างกินตลอดเลย ของแนะนำที่ชอบเลยก็คือ เนื้อย่าง เนื้อย่างที่นี้ชิ้นใหญ่มาก ไม่เหนียวเท่าไหร่ กินละลายในปากเลย เต็มปากเต็มคำ ปลาหมึกก็อร่อยว เหนียวกำลังดี มีน้ำซอสราดทา มาด้วย อร่อยเข้ากันดีมากๆ ราคาไม่แพงเท่าไหร่ ไม้ละ 300-500 Yen เองครับ
วันนี้เราได้เห็นภูเขาไฟฟูจิตลอด ทั้งวัน แต่เหมือนว่า วันนี้หมอกจะหนามาก เลยเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่เราตั้งกล้องรอพระอาทิตย์ตก แต่ปรากฎว่า แสงมันไม่มา เมฆบังหมด เลยแต่ภาพหมอกๆ ลางๆ แบบนี้แทน เอาเป็นว่า พรุ่งนี้เช้าเอาใหม่ละกัน เผือจะมีโชดได้เห็นแบบ อากาศโปร่งๆ
DAY 6
เมื่อคืนตั้งใจว่าถ้าฟ้าโปร่งจะออกมาถ่ายดาว ที่ริมทะเลสาป แต่พอดูสภาพอากาศแล้ว ไปพักผ่อน เตรียมตัวตื่นเช้า ตี 5 ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นดีกว่า คงจะงง ว่ารู้ได้ไง ทั้งๆที่อยู่ในที่พัก ในตอนนี้มีเว็ปที่เราสามารถส่องเจ้าฟูเขาไฟฟูจิ และส่วนต่างๆ รอบๆ ภูเขาไฟฟูจิด้วย สะดวกสบาย เว็ปที่อยากจะแนะนำคือ http://www.fujigoko.tv/live/camera.cgi?e=1&n=10 เว็ปนี้เราสามารถดูสภาพอากาศ ณ เวลานั้นๆ ได้เลย สะดวกมากๆ กับการเตรียมตัวออกไปถ่ายรูป ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แนะนำให้เซฟเก็บไว้ครับ
เราตรวจดูสภาพอากาศ ประมาณ 6 โมงกว่าๆเมฆเริ่มกระจายตัวออก ภูเขาไฟฟูจิค่อยๆ เผยโฉมออกมา เราต่างรีบคว้ากล้อง วิ่งไปยัง ริมทะเลสาปเลย เพราะโอกาสมันอาจจะมีแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ในที่สุดก็ไปถึงจุดถ่ายรูป เรามาทันเวลา แสงแดดเริ่มส่องออกมา จากกลุ่มเมฆ กระทบเข้ากับภูเขาไฟฟูจิ น้ำที่นิ่งสงบ ทำให้เห็นเงาสะท้อน ของภูเขา และ ก้อนเมฆที่ลอยอยู่เหนือน้ำ เป็นภาพที่งดงามจริงๆ กับการเฝ้ารอคอย เรามีโอกาสถ่ายกันแค่ 10 นาที เมฆก็ปิด ปกคลุมภูเขาไฟฟูจิหายไปกับตา
แค่ 5 นาที ที่พบเจอ ก็นับว่ามันคุ้มค่า กับการรอคอย
บรรยากาศรอบๆ ทะเลสาป ตอนที่ไปมีจัดงาน Cherry Blossom Festival (April 11th~19th) ด้วย จึงมีการตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายสี หลากหลายสายพันธุ์ สวยงาม เยอะแยะมากมาย ตอนกลางคืนมีเปิดไฟด้วย
วันนี้เป็นวันท้ายๆ ที่ดอกซากุระเริ่มจะร่วงแล้ว ดอกเขียวๆเริ่มแตกออกมา แต่ผู้คนยังคงเดินทางมาเที่ยวชมซากุระอยู่อย่างหนาแน่น
บรรยากาศยังคโรแมนติก หากใครมากับคู่รักคงเป็นช่วงเวลาที่วิเศษน่าดูเลย 🙂
DAY 7
วันที่ 7 วันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ ทะเลสาปคาวากูชิโกะแล้ว เราเลยมีแผนว่าจะไป เจดีแดง ที่เป็นจุดยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวด้วย จึงไม่พลาดที่จะเดินทางไป
วิธีการเดินทาง
เดินทางจาก Kawaguchiko St. – Shinmoyoshida St. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที หรือมากกว่านั้น แต่ไม่นานมากครับ เดินทางสะดวก
เมื่อเดินทางมาถึงสถานีแล้ว เดินออกมาเลี้ยวขวา จะเจอป้ายไปยังเจดีแดง เดินตามไปเลย ไม่ยากครับ สถานที่แห่งนี้ นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมา เพราะ ที่นี้มีเจดีแดงที่สวยงาม และ มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นเจดีแดง ที่ตั้งอยู่อย่างสวยงาม และ มีฉากหลังเป็นภูเขาไฟฟูจิที่ยิ่งใหญ่ สวยงามเข้ากันมากๆ ช่วงเวลาอากาศดีๆ ที่สามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ จะมีช่างภาพทั้งชาวต่างชาติ และ ช่างภาพญี่ปุ่นมาถ่ายรุปกัน
เมื่อเดินมาถึงจุดๆนี้ ก็เดินเข้าไปด้านในและเดินเข้ามาตามทางได้เลยครับ
เมื่อเดินมาสักพัก จะพบกับทางเดินที่เป็นบันได สำหรับเดินขึ้นเขา ให้ทดสอบกำลังขา ถือว่าเดินเพลินๆ ออกกำลังกายละกัน แต่กว่าจะไปถึงนี่ ถ้าแบกกระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้องมาด้วยนี่ มีหอบแน่ๆ ครับ
แต่เดี๋ยวก่อน หากใครมีรถ รู้สึกว่า ข้างๆ ทางเดินขึ้นบันได จะมีอีกทาง ซึ่งเป็นทางลาด ซึ่งไปถึงข้างบนยอดเหมือนกัน ก็สามารถขับรถมาก็ได้ครับ สะดวกมากๆ ไม่ต้องเดินขึ้นเหนือยๆ
เดินมาถึงเรียบร้อยแล้ว แทบหอบ เราก็เดินเข้ามาด้านในอีก ก็พบเจดีแดงแล้ว สวยงามมากๆ คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมา แต่จุดไม่ใช่จุดที่มองแล้วสวยที่สุด จะมีทางเดินขึ้นไปอีก ไปกันต่อเลยครับ
ผู้สูงอายุยังเดินขึ้นมาได้เลย อย่าอายเค้านะครับ สู้ๆ 🙂
ระหว่างทางขึ้นไปดูจุดชมวิว เราก็สามารถมองเห็นเมืองด้านล่างได้ แต่โชดร้าย วันนี้ภูเขาไฟฟูจิ ขี้อาย ไม่ออกมาให้เห็นสักนิดเลย
และแล้วเราก็เดินทางเข้ามาถึง จุดชมวิว ที่สวยที่สุดของสถานที่แห่งนี้แล้วครับ ซากุระกำลังออกดอกสวยงาม เจดีแดง สีเด่นสดใส แต่ขาดพระเอกของเราไปก็คือ ภูเขาไฟฟูจินั้นเอง น่าเสียดาย ที่ตั้งใจเดินขึ้นมาแล้วแต่ไม่เห็นเลย
ถ่ายรูปกับครอบครัวเป็นที่ละลึกกันดีกว่า :))
หลังจากเดินเล่นถ่ายรูป รอบๆ เจดีแดงแล้ว ก็ได้เวลา ช่วงบ่ายพอดีเรามีแผนจะไปหมู่บ้านโบราณซึ่งเป็นมรดกโลกอีกด้วย ซึ่งที่ที่เราจะไปนั้น ตั้งอยู่ Saiko Lake ซึ่งต้องไปเริ่มที่ สถานีคาวากูชิโกะ แล้วนั่งรถประจำทางสีเขียว เพื่อไปยังหมู่บ้านนั้น นั่งรถไปสักระยะนึง ถือว่านานพอสมควรแล้ว แต่วิวข้างทางนั้นสวยสุดยอดจริงๆ ครับ
Saiko Iyashino-Sato Nenba (Healing Village)
เข้าไปชมที่นี้ต้องเสียค่าเข้าด้วย คนละ 350 Yen
Hours of operation
-
9:00 a.m. to 5:00 p.m., March to November
-
9:30 a.m. to 4:30 p.m., December to February
Closed
- Wednesdays from December to February
DAY 8 เดินทางกลับ Matsumoto
เช้าวันที่ 4 หลังจากที่พัก 3 คืนที่ คาวากูชิโกะอย่างเต็มอิ่ม ได้ภาพบรรยากาศรอบๆ ทะเลสาปคาวากูชิโกะ เรียบร้อยแล้ว วันนี้ก็ตื่นมาลุ้นภูเขาไฟฟูจิอีกรอบนึง ขอให้ได้ภาพสวย สักทีเถอะ แต่ก็รอแล้วรออีก ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นตัวเต็มๆเลย แต่บรรยากาศช่วงนั้นขอบอกเลยว่า อากาศดีมากๆ สดชื่นจริงๆเลย รอจนวินาทีสุดท้าย เจ้าเมฆที่ลอยอยู่ด้านหน้าฟูจินั้น ค่อยๆ สลายตัวออกมา ให้เราได้เชยชมจนได้ แต่จะไม่เห็นเต็มๆ ตา แต่ก็ถือว่า ได้เห็นแล้ว 3 คืน 4 วันที่ ทะเลสาป คาวากูชิโกะนั้นเราได้ช่วงเวลาที่พิเศษ และเต็มอิ่มกับสิ่งที่พบเจอมากๆ ได้เวลาที่เราจะเดินทางกลับไปยังเมือง Matsumoto อีกแล้ว
DAY 9
จุดเที่ยวสุดท้ายที่เป็น ไฮไลท์ในทริปนี้คือ Japan Alp นั้นเอง สิ่งที่เราอยากเห็นมากที่สุดก็คือ กำแพงหิมะที่เขาว่ากันว่า สูงมาก ปีนี้สูงถึง 19 เมตรเลยทีเดียว เลยไม่พลาดที่จะไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ เลยตัดสินใจเดินทางไปชมเลยดีกว่า ส่วนการเดินทางนั้น เราสามารถเดินทางได้จากหลากลายเส้นทาง แล้วแต่ความสะดวกเลย
วิธีการเดินทาง
https://www.alpen-route.com/th/access
แนะนำเข้าสู่เส้นทางแอลป์
https://www.alpen-route.com/th/introduction
เว็ปหลักหากสนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติม
https://www.alpen-route.com/th/
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง เส้นทางต้นๆ ก่อนไปถึงจุดที่เป็นกำแพงหิมะ นั้นก็คือ Kurobe Dam เขี่อนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างมหาศาล
น้ำในเขื่อนนั้น แข็งเป็นพื่นน้ำแข็งหมดแล้ว เป็นภาพที่ประหลาดตาดี
นักท่องเที่ยวส่วนมาก มากับทัวร์ มากันหลายกรุ๊ปเลย ทั้งจีน ไทย และอื่นๆ ช่วงที่เปลื่ยนรถคงต้องรอหน่อยนะครับ ใช้เวลาพอสมควร เพราะฉะนั้นเดินทางมาเที่ยวช่วงเช้าๆดีกว่าคนจะได้ไม่เยอะมาก
พอเราชมเขื่อน Kurobe Dam เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลานั่งรถราง ครับ
รถลางก็จะลากดึงเราขึ้นไปด้านบน ตามในช่องท่อนี่ขึ้นไปเรือยๆ ขึ้นไปนานมาก ไม่ถึงซะที ท่อนี้มีความยาวมากๆ เลยครับ
และแล้วก็ขึ้นมาถึงข้างบนสักที วิวที่เห็นก็จะสูงขึ้นมาเรือยๆ แต่นี่ยังไม่หมด ยังมีขึ้นต่อไปอีก แต่พวกเราหยุดพัก ถ่ายรุปกันก่อนดีกว่า ช่วงเช้า เวลายังเหลืออีกเยอะ
ด้านบนนี้ มีจุดถ่ายรุปเยอะแยะมากมาย นักท่องเที่ยวต่างจับจองมุมถ่ายรุปกันอย่างสนุกสนาน
และแล้วก็มาถึง จุดสุดท้าย นั้นก็คือการนั่งเคเบี้ลขี้นไปนั้นเอง เสียวดีเหมือนกันนะเนี้ย
เมื่อเราขึ้นมาถึงแล้ว เราจะพบเจอ หิมะ หิมะ และก็หิมะเต็มไปหมด นี่เราขึ้นมาถึงบนยอดแล้ว Snow Wall ก็คงจะอยู่อีกไม่ไกล
เดินไปตามทางก็จะเจอกำแพงหิมะจนได้ สูงมากๆ แต่ถ้าเดินเข้าไปอีก จะสูงกว่านี้ เดินกันต่อดีกว่า…
จุดนี้เป็นจุดที่มีป้ายบอกว่า สูงที่สุด โดยความสูงที่วัดวันนี้คือ 19 เมตรนั้นเอง!! ถือว่าสูงมากๆ
สรุปแล้ว การเดินทางครั้งนี้ ที่มาดู Snow wall นั้นคุ้มค่ามากๆ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่ก็ ถือว่าเป็นฝืมือคน ที่สร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ ที่น่าตกตลึงได้เหมือนกัน เราเดินเที่ยวบนนี้ถึงบ่ายโมงปุ้บ ก็ได้เวลากลับเมือง Matsumoto เพื่อพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะกลับโตเกียว และเที่ยวเป็นวันสุดท้าย.
DAY 10 Tokyo
หลังจากที่เดินทางจากเมือง matsumoto มา โตเกียว ในช่วงเช้าเสร็จ และ เข้าที่พักโรงแรมจัดของเรียบร้อยแล้ว ที่สุดท้ายที่เราจะไปชมกัน เป็นที่ปิดทริปก็คือ Odaiba นั้นเอง ก็คงจะไม่อธิบายไรมาก ไปชมบรรยากศกันเลยดีกว่าครับ สถานที่ที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยกันดี
Diver City odaiba Gundam.
Gundam RX-78 ขนาดเท่าตึก DiverCity Tokyo Plaza
FUJI TELEVISION NETWORK, INC.
Odaiba Kaihin Koen
Rainbow Bridge (Tokyo)
ปิดทริปการเดินทางตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราเดิน Odaiba จนถึงเที่ยงๆ แล้วก็กลับที่พัก เดินเล่นแถวๆย่าน Ueno ซึ่งมีตลาด ตึกม่วง ให้ช้อปของมากมาย เดินชิล หาของอร่อยๆ ทานกัน พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว
DAY 11
เดินทางกลับ ประเทศไทย